The origin of Ampeg

ความเป็นมาของ Ampeg หนึ่งในแอมป์เบสขวัญใจชาวร็อคตลอดกาล

หากจะเอ่ยถึงแอมป์สำหรับกีตาร์เบสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสายดนตรีร็อค หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ Ampeg แอมป์ยอดนิยมสัญชาติอเมริกันรวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน  แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมายืนอยู่ในแถวหน้าของแอมป์เบสระดับโลก Ampeg มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้ Siam Backline จะพาผู้อ่านทุกท่านย้อนไปจุดเริ่มต้นของแบรนด์ยอดนิยมแบรนด์นี้กันนะครับ

    ประวัติศาสตร์ของ Ampeg เริ่มต้นในปี 1946 โดย Everett Hull นักเปียโนและมือเบสที่มีความสามารถ ได้คิดค้นและจดสิทธิบัตรวิธีการใหม่ในการขยายเสียงเบสแบบตั้งตรงโดยติดไมโครโฟนไว้ที่ปลายของ “หมุด” โลหะที่วางอยู่บนพื้นเพื่อรองรับน้ำหนักของเครื่องดนตรี หมุดที่ติดตั้งไมโครโฟนถูกใส่กลับเข้าไปในเครื่องมืออย่างระมัดระวังผ่านรู F และเชื่อมต่อกับวิทยุ ภรรยาของเขาขนานนามการประดิษฐ์นี้ว่า “Ampeg” ซึ่งเป็นเวอร์ชันย่อของ “amplified peg”

    เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1946 ฮัลล์ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรสำหรับ “เครื่องขยายเสียงสำหรับเครื่องดนตรีประเภทสายของตระกูลไวโอลิน” ปีต่อมาฮัลล์ย้ายไปอยู่ที่นิวเจอร์ซีย์ และได้ร่วมงานกับวิศวกรไฟฟ้าและช่างเทคนิคแอมป์ Stanley Michael ผลิตและจำหน่าย Michael-Hull Bassamp (หรือที่รู้จักในชื่อ Model 770) ในปี 1946 และพวกเขายังได้ก่อตั้ง Michael-Hull Electronic Labs ในเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อขายผลิตภัณฑ์ของพวกเขา Michael ออกจากบริษัทในปี 1948 และฮัลล์ย้ายบริษัทไปอยู่ที่ 42nd Street ในแมนฮัตตันในปีถัดมา เหนือ New Amsterdam Theatreและเปลี่ยนชื่อเป็น “The Ampeg Bassamp Company

Michael-Hull Bassamp ที่มา https://www.flickr.com/photos/eric_ernest/27701471730

ฮัลล์ค่อยๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดช่วงต้นทศวรรษ 1950 โดยผสมผสานลำโพงขนาดใหญ่ขึ้น พลังที่มากขึ้น การควบคุมโทนเสียงที่กว้างยิ่งขึ้น แต่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของ Ampeg นั้น มาจากการมาถึงของนักออกแบบ Jess Oliver ในปี 1956 พวกเขาได้ร่วมมือกันสร้าง Ampeg B-15 Portaflex ขึ้นเป็นครั้งแรก และในปี 1959 บริษัทได้จัดตั้งเป็น “The Ampeg Company, Inc.” โดยมี Everett Hull เป็นประธาน, Gertrude Hull เป็นเลขานุการ และ Jess Oliver เป็นรองประธาน(Oliver ออกจากบริษัทในปี 1966)

B-15 กลายเป็นอุปกรณ์ประจำในสตูดิโอบันทึกเสียงอย่างรวดเร็ว และเป็นแอมป์เบสที่ถูกใช้บันทึกเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามมาด้วย  B-12 และ B-18 ที่โด่งดังน้อยกว่า (ซึ่งให้ลำโพง 12″ และ 18″ ตามลำดับ) และภายในปี 1966 ยอดขายและสายผลิตภัณฑ์ของ Ampeg เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อมา Unimusic ได้เข้าซื้อกิจการ Ampeg ในปี 1967 ฝ่ายบริหารของบริษัทใหม่ก็เริ่มเดินหน้าไล่ตามตลาดดนตรีร็อค ด้วยการเปิดสำนักงานใหม่ในชิคาโก แนชวิลล์ และฮอลลีวูด และเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักดนตรีร็อค

    แม้ Ampeg B-15 จะให้เสียงที่กลมกล่อมและพกพาสะดวก แต่ด้วยกำลังวัตต์ที่น้อย มันจึงเหมาะสำหรับในไนท์คลับหรืองานขนาดไม่ใหญ่มาก เมื่อการปรากฎตัวของ เดอะบีทเทิลส์ ในการแสดงที่ Shea Stadium ในปี 1965 โดยในงานมีผู้ชมจำนวนถึงห้าหมื่นหกพันคน ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในการแสดงระดับนี้ พวกเขาจะต้องสร้างแอมป์แอมป์พลิพลายเออร์ที่มีพละกำลังมากกว่านี้ ดังนั้นทีมงานนักออกแบบแอมป์ Bill Hughes และ Roger Cox พร้อมด้วยข้อมูลจาก Bob Rufkahr และ Dan Armstreong จึงได้เริ่มต้นออกแบบแอมป์ที่จะตอบสนองความต้องการนั้น

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ที่บริษัทเครื่องขยายเสียงต่างๆเริ่มสร้างแอมป์กีตาร์ที่ใหญ่ขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น Fender ได้เพิ่มเอาต์พุตของรุ่นทวินของพวกเขาเป็น 100w และ Hiwatt และ Marshall ได้ผลิตหัว 200w แอมพลิฟายเออร์เบสก็มีพลังมากขึ้นเช่นกัน Sunn ได้พัฒนา 150w Model T ของพวกเขาและ Acoustic ได้เปิดตัวรุ่น 200w 360 ของพวกเขา

ในส่วนของ Ampeg เอง หัวเบส  Super Vacuum Tube หรือ ชื่อสั้นๆคือ SVT ได้ถูกเปิดตัวที่งาน NAMM ปี 1969 ในเมืองชิคาโก มันถูกขนานนามว่า เป็นแอมป์เบสตัวแรกที่สามารถจัดการกับโวลุ่มและโทนเสียงของ Arena Rock ได้อย่างแท้จริง ขนาด 300 วัตต์ของ Ampeg มีน้ำหนัก 95 ปอนด์และมี 14 หลอด โดยหกหลอดเป็นหลอดเอาท์พุต 6146  และเพื่อให้ความร้อนแก่หลอดเหล่านั้น จำเป็นต้องใช้หม้อแปลงขนาดใหญ่ และมีป้ายเตือนกำกับไว้ว่า: “แอมป์นี้สามารถสร้างความดังที่อาจทำให้สูญเสียการได้ยินอย่างถาวร” Ampeg มาพร้อมกับคาบิเน็ตที่บรรจุลำโพง10 นิ้วแปดตัว และตำนานของ SVT ซึ่งกำหนดมาตรฐานสำหรับการขยายเสียงเบสแบบมืออาชีพมาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษ ก็ได้เริ่มขึ้น

โรลลิ่งสโตนส์และ Ampeg SVT ตัวต้นแบบที่มา https://iorr.org/talk/read.php?1,2702058

โอกาสที่ยิ่งใหญ่ของ Ampeg มาพร้อมกับการทัวร์ของ เดอะโรลิ่งสโตนส์ โดยหลังจากห่างหายไปสามปี ทางวงต้องการเล่นในสถานที่ๆรองรับให้ผู้ชมจำนวนมากขึ้น และพวกเขาจึงได้จองสถานที่สนามกีฬา เช่น LA Forum, Madison Square Gardens และ Detroit Olympia และยังตกลงที่จะเล่นคอนเสิร์ตกลางแจ้งฟรีในซานฟรานซิสโก (ต่อมาย้ายไปที่ Altamont Speedway) เป็นโชว์สุดท้ายก่อนที่จะกลับไปอังกฤษ โดย The Stones เริ่มต้นการซ้อมสำหรับทัวร์ในห้องใต้ดินของ Steven Stills ใน Laurel Canyon, Los Angeles และไม่นานก็ย้ายไปสถานที่ ๆใหญ่ขึ้นที่สตูดิโอของ Warner Brothers ในฮอลลีวูด

หลายเดือนก่อนทำการแสดง(โดยกำหนดการคือวันที่ 27 และ 28 พฤศจิกายน 1969 ) ทางวงได้ส่งแอมป์ของตัวเองไปที่ลอสแองเจลิสเพื่อซ้อม แต่แอมป์ของพวกเขาเสียหายเนื่องจากแอมป์ได้รับการตั้งค่าสำหรับแรงดันไฟฟ้าของสหราชอาณาจักร และถือเป็นโชคดีของ Ampeg เมื่อมือคีย์บอร์ดของ Stones และผู้จัดการ Ian Stewart ได้ติดต่อ Rich Mandella ตัวแทนของ Ampeg ในฮอลลีวูดเพื่อขอใช้ SVT ในคอนเสิร์ต แต่เนื่องจากหัว SVT เหล่านั้นยังเป็นเพียงต้นแบบและยังไม่เริ่มสายการผลิต ทางวงจึงเสนอให้ Mandella ร่วมเดินทางไปกับ Stones ในทัวร์ในฐานะเทคนิเชี่ยล Ampeg ส่วนตัวของพวกเขาในการทัวร์ด้วย

      ทัวร์ของโรลลิงสโตนส์ที่เมดิสันสแควร์การ์เด้น ในวันที่ 27 และ 28 พฤศจิกายน 1969 ด้วยการแสดงเปิด Terry Reid, BB King และ Ike และ Tina Turner นั้น หลังจากการคอนเสิร์ตจบลง หนังสือพิมพ์ The New York Times ได้ประกาศว่าเป็น “งานร็อคที่ยิ่งใหญ่แห่งปี”เลยทีเดียว และแน่นอน เบื้องหลังของพวกเขาคือ กำแพงของ Ampeg SVTs หัว SVT แปดหัวตั้งอยู่บนตู้ขนาด 8 x 10″ ผ่านการเล่นกีตาร์ของ Keith Richards และ Mick Taylor รวมถึงเบสของ Bill Wyman Ampeg นั่นเอง 

     ตั้งแต่ระบบดิจิตอลไร้สาย ระบบอินเอียร์มอนิเตอร์ไปจนถึงแนวคิดระบบเสียง PA ใหม่ ๆ เทคโนโลยีการแสดงดนตรีสด ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ย้อนกลับไปในปี 1970 การได้ยินที่แถวหลังนั้นขึ้นอยู่กับความดังของแอมป์เป็นส่วนใหญ่ และไม่มีแอมป์ใดที่ดังไปกว่า SVT  ศิลปินหลายคนใช้เป็นแอมป์ประจำตัว ตั้งแต่สแตนลีย์ คลาร์กและโทนี่ เลวินไปจนถึงดาร์ริล โจนส์และโรเบิร์ต ทรูจิลโล เป็นต้น นอกเหนือจากรุ่นติดตั้งบนแร็คหลายรุ่นแล้ว SVT ในรูปแบบ “Head” แบบคลาสสิกก็ยังสามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก: “Blueline” และ “Blackline” การเปลี่ยนแปลงด้านความงามในการออกแบบแผงด้านหน้าทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจาก Blueline มาเป็น Blackline SVT อย่างชัดเจน

 

ในปี 1971 Ampeg ถูกซื้อกิจการโดย Magnavox ,ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ผลิตเครื่องดนตรีเซลเมอร์และธุรกิจอุตสาหกรรมโทรทัศน์, วิทยุและส่วนประกอบ Hi-Fi ในปีถัดมา Magnavox ได้ยุบการรวมตัวกันของ Ampeg และย้ายผู้บริหารของ Ampeg ไปที่สำนักงาน Selmer-Magnavox ในเมือง Elkhart รัฐอินเดียนา ในปี 1974 เมื่อเริ่มเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและกำลังการผลิตที่เกินดุล Magnavox จึงได้ปิดโรงงาน Linden ของ Ampeg และย้ายการผลิตไปยังส่วนหนึ่งของโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Magnavox และต่อมาในปี 1978 Bill Hughes ดีไซเนอร์ SVT ก็ได้ลาออกจากบริษัท

      ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 Ampeg ถูกซื้อโดย Music Technologies, Inc. (MTI) ซึ่งทำสัญญาเพื่อผลิต SVT ในญี่ปุ่น แม้ว่า SVT ในยุค MTI ส่วนใหญ่จะเหมือนกับเวอร์ชันก่อนๆ แต่ก็มีความแตกต่างกัน ในด้านความสวยงาม MTI SVT มีแผงหน้าปัดสีดำที่มีตัวอักษรสีขาว โทเล็กซ์ที่มีพื้นผิวที่หยาบกว่า และที่จับสปริงโหลดในสไตล์เคสสำหรับแร็ค ซึ่งปรับปรุงจากที่จับสายรัดโลหะที่หุ้มด้วยยางรุ่นก่อนหน้า  SVT เหล่านี้ยังเพิ่มตัวเลือกที่แผงด้านหลังสำหรับโหลดอิมพีแดนซ์ของลำโพง 2 หรือ 4 โอห์มและสายไฟ 3 แฉกที่ยาวและหนาขึ้น นอกจากนี้ ส่วนประกอบบางอย่าง เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า สำหรับ SVT ยุค MTI มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น ซึ่งต่างจากหม้อแปลง SVT ดั้งเดิมที่ผลิตโดย ETC ในชิคาโก

      ในปี 1986 St. Louis Musicได้ซื้อ Ampeg และเข้าครอบครองคลังของ MTI ที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งมีส่วนประกอบดั้งเดิมเพียงพอสำหรับสร้างแอมป์ 500 ตัว กลายเป็นSVTsรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นในปี 1987 ผลิตในสหรัฐอเมริกาโดยทีมงาน Skunk Works ของ SLM  แต่ละตัวจะมีแผงสลักระบุหมายเลขของหน่วยในการผลิตทั้งหมด 500 หน่วย ต่อมาในปี 1990 Ampeg ได้เปิดตัว SVT-II และ SVT-II Pro และในปี 1994 ได้เปิดตัว SVT-CL (Classic)

svt 2 pro ที่มา https://ampeg.com/products/pro/svt2pro/

 หลังจากนั้นในปี 2005 LOUD Technologies (ปัจจุบันคือ LOUD Audio, LLC) ได้เข้าซื้อกิจการ St. Louis รวมถึง Ampeg ภายใต้การบริหารของ LOUD การผลิต Ampeg เวอร์ชันของ SVTและตู้คอนเทนเนอร์ถูกย้ายไปยังเอเชีย ในปี 2010 Ampeg ได้เปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ Heritage Series ซึ่งผลิตในโรงงานของ LOUD Technologies ในเมืองวูดินวิลล์ รัฐวอชิงตัน ซึ่งรวมถึงเฮดเฮอริเทจ SVT-CL และตู้ SVT-810E และ SVT-410HLF ส่วนหัวที่อัปเดตมีหลอดปรีแอมป์และไดรเวอร์แบรนด์ JJ และหลอดพาวเวอร์แอมป์ “Winged C” 6550 ผ่านการทดสอบและจับคู่โดย Ruby Tubes ในเมืองแคลิฟอร์เนีย พร้อมด้วยแผงวงจรพิมพ์สองชั้นหนา 1.6 มม.ชุบแบบรูทะลุและเพิ่มน้ำหนักทองแดง จนในเดือนพฤษภาคม 2018 Yamaha Guitar Group ได้เข้าซื้อกิจการ Ampeg จาก LOUD Audio Ampeg โดยยังคงผลิตและจำหน่ายรุ่น Heritage Series และ SVT Pro Series ของ SVT

ปัจุบัน Ampeg ยังคงเป็นหนึ่งในแอมป์เบสที่นักเล่นเบสหลายคนอยากมีไว้เครอบครอง แม้ว่า B-15 และ SVT จะถูกออกแบบมาให้ห่างกันเกือบทศวรรษโดยสองทีมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นตำนานในสิทธิของตนเอง เส้นทางที่เริ่มตั้งแต่ไมค์ของ Everett Hull ที่ติดอยู่ข้างในเบสตั้งตรงของเขาในปี 1946 ไปจนถึง B-15 ที่ไพเราะของต้นยุค 60 ไปจนถึงเสียงบดขนาดใหญ่ของ SVT ยุคใหม่  เรายังคงได้เห็น Ampeg บนเวทีคอนเสิร์ตเกือบทุกคอนเสิร์ตไม่ว่าจะเป็นระดับเล็กๆไปจนถึงเทศกาลดนตรีระดับโลก อดีตบรรณาธิการ Bass Player คุณ Scott Malandrone ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า “SVT ได้ทำเพื่อเสียงเบสไฟฟ้าอย่างที่ Marshall Super Lead ทำกับกีตาร์ไฟฟ้า  มันทำให้เครื่องดนตรีมีเอกลักษณ์” และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Ampeg  หนึ่งในแอมป์เบสขวัญใจชาวร็อคตลอดกาล

 

บทความโดย 

อาทิตย์ พรหมทองมี 

บทความอ้างอิง 

https://www.sweetwater.com/insync/history-of-the-ampeg-svt/

https://ampeg.com/history/

https://bassmusicianmagazine.com/2020/01/origins-of-the-iconic-ampeg-svt/